ฤดู(ของ)ฝน

ฤดูไหน…ฤดูไหน…ก็ฤดู(ของ)ฝน

อาจไม่ต้องเอ่ย June 20, 2007

Filed under: Uncategorized — therainyseason @ 2:27 am
Tags:

ใจบางบาง [โจ้ วงPause]

เป็นเพราะเรา เป็นเพราะเรามากกว่า
เป็นเพราะใจ เป็นเพราะใจเราอ่อน
อ่อนแออยู่เสมอ เพียงพบคนถูกใจ
เก็บมาใส่ดวงใจฉันไว้ ฝันลมๆมากมาย
แล้วเป็นไง พอหัวใจต้องเจ็บ
เขาคนดี มีแล้วมีคนอื่น
เจ็บใจอยู่อย่างนั้น เพียงพบความผิดหวัง
ได้แต่ปลอบปลอบใจตัวเอง หวังอะไรมากมายนะใจ
*
เป็นเพราะใจเราอ่อน อยากทำหัวใจขึ้นใหม่
อยากตบแต่งดวงใจเล็กๆ ให้แข็งแรงพอจะทนไหว
**
พอแล้วพอ พอฉันพอดีกว่า
คิดไปเอง ทำให้ใจต้องเจ็บ
สุขเพียงสุขเล็กน้อย ยามพบคนถูกใจ
แต่พอเจ็บมันเจ็บเกินใคร เป็นเพราะใจเราบางเหลือเกิน 

ฉันเชื่อว่าในบางห้วงของอารมณ์ บทเพลงก็สามารถสื่อความรู้สึกได้ดีกว่าคำพูด

ทำให้บางเหตุการณ์เคลื่อนที่ผ่านไปได้ตามจังหวะการเดินทางของเข็มนาฬิกา โดยปราศจากวาจา

แต่แฝงลึกไปด้วยความหมาย และความเข้าใจที่เปี่ยมล้น

 

 

 

บันได เป็นลม ยาดม ทิชชู่ 5 บาท June 8, 2007

Filed under: Uncategorized — therainyseason @ 6:08 am
Tags:

พร้อมพงษ์

เฮ้ย..!!!!!!!!!!!!!!                                                                                                                       ผู้หญิง ผมยาวสลวย แต่งตัวทันสมัยในชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่า รองเท้าส้นสูง ถือกระเป๋าแบรนด์เนม เธอเดินคุยโทรศัพท์ ระหว่างทางที่เดินลงจากบันไดสถานีรถไฟฟ้า เพื่อที่จะไปดูหนังกับชายคนรัก แต่ทุกอย่างดูไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะเธอเป็นต้นเหตุของเฮ้ย..!!!!!!!!!!!!!! ที่คุณได้ยินในข้างต้น

          เหตุเพราะเธอเดินตกบันได เนื่องจากมีเด็กชายหญิงจอมซนวิ่งไล่กันมาชนเธอ รองเท้าส้นสูงที่เธอสวมอยู่ มันทำให้เธอยิ่งทรงตัวไม่อยู่ เธอกลิ้งตกลงจากบันไดราว6-7ขั้น ทุกคนรอบข้างแตกหือ เหมือนเธอเป็นตัวเชื้อโรคที่ถูกโยนลงมาท่ามกลางกลุ่มชน ทุกอย่างเริ่มหยุดนิ่งมีเพียงสายตาเท่านั้นที่เคลื่อนไหว ทุกคนจ้องมองหญิงสาวที่ล้มลงเบื้องหน้า แต่ไม่มีแม้สักคนเดียวที่เข้ามาช่วยเหลือ เธอพยายามลุก..ลุก..แล้วก็ลุกขึ้น เอื้อมมือไปหยิบชิ้นส่วนของโทรศัพท์ที่แตกกระจาย

อีกไม่ถึงนาที ที่เธอก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ภาพของเธอก็เลือนลางจากความทรงจำของผู้คนที่พบเห็น 

สยาม                                                                                                                                

         กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ที่เด็กสาว เดินทางโดยรถไฟฟ้าแทนการขึ้นรถเมล์ มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในสภาพสังคมปัจจุบันที่รีบเร่งทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลาและเธอก็ยังคงดำเนินชีวิตในแบบเดิมๆจนกระทั่งเธอได้รับมัน รอยยิ้มในครั้งนั้น                                                                                  

          เอ่อๆ ฉันจะถึงแล้ว เดี๋ยวเจอกัน อีกไม่เกิน 10 นาทีเสียงเด็กสาวรอดผ่านสายโทรศัพท์ไป เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพื่อไปให้ทันเวลานัดหมายกับเพื่อนสาวสุดซี้ แต่อยู่ดีๆก็เหมือนกับเธอโดนกระชาก อย่างเต็มแรง ท้าวยังคงก้าวต่อ แต่ใจกำลังนึกถึงแต่ภาพที่ตาของเธอเห็นเมื่อไม่กี่นาทีที่เพิ่งผ่านมา หญิงชราที่นั่งตัวขดเล็กอยู่หน้าร้านอาหาร Fast food ชื่อดังนั่งกินข้าวจากถุงพลาสติกที่ตักมาจากที่บ้าน มันช่างแตกต่าง และนั่นเป็นต้นเหตุให้เด็กสาวคนนั้นเดินย้อนกลับมา               

 ยายค่ะ ทิชชู่นี่ห่อละเท่าไร               

5 บาทจ๊ะ หญิงชราวางช้อนและถุงพลาสติกลงกับพื้นข้างกาย ส่งทิชชูให้เธอหนึ่งห่อ พร้อมกับรอยยิ้มของหญิงชราที่เป็นเหมือนพรวิเศษ รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฏขึ้นจากร่างกายที่ยากลำบาก มันเหมือนทุกจังหวะชีวิตของเธอที่เคยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคอยๆช้าลง เพราะเธอเห็น…เห็นการหยุดนิ่งของหญิงชราคนนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งเดียวที่เธอไม่เคยสังเกตุเห็นมันเลย 

สวนลุมพินี

          รอบตัวดูเคว้งคว้าง ทุกอย่างที่สายตาพาดผ่านล้วนเป็นสีเขียว เบาะนั่ง หน้าต่าง กระเป๋ารถเมล์ คนขับรถ เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ทุกอย่างทุกคนล้วนเป็นสีเขียวไปหมด ให้ตายสิ .. ฉันไม่ชอบเลยสีเขียวเนี่ยะหญิงสาวพลางคิดรำพึงในใจ แล้วทำไมฉันยืนไม่อยู่ช่วยเปิดประตูให้ด้วยค่ะเธอก้าวลงจากรถเมล์ที่จอดนิ่งติดไฟแดงอยู่เป็นเวลานาน เธอนั่งลงที่สนามหย้าข้างทาง พลางคิดในใจ นี่ก้สวนลุมฯ แล้ว อีกแค่ป้ายเดียวก็จะถึงออฟฟิตแล้ว ทำไมมาเป็นเอาตอนนี้ หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ทุกคนบนรถเมล์มองเธอ หลายคนที่เดินผ่านก็มองเธอ ตอนนี้เธอกำลังหมดแรง ก้มหน้าฟุบลงกับหัวเข่าที่ชันขึ้น แต่เธอก็ยังคงมีสติ 

เป็นลมหรอค่ะ เสียงของหญิงวัยกลางคนสอดแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ พร้อมกับยื่นยาดมให้เธอค่ะ หญิงสาวกล่าวตอบ  

มันอาจจะเก่าไปหน่อย ไม่รู้จะมีกลิ่นอยู่รึเปล่า จะไปตรงไหน เดี๋ยวพี่เดินไปส่งให้ มือขวาของหญิงผู้มาเยือนประคองเอวของหญิงสาวไว้ตลอดทาง                                                   

          คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงสาวคนแรก คนที่สอง และคนที่สาม เค้าเป็นคนคนเดียวกัน  เธอแต่งตัวสวยงามเพื่อไปพบชายคนรัก ตามที่นัดหมาย แต่เธอก็พลัดตกบันได ทั้งเจ็บและอับอาย ถึงแม้จะไม่มีใครสักคน ยื่นมือมาช่วยเหลือ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่คิดช่วยเหลือใคร ในตอนแรกเธออาจลังเลที่จะเดินกลับมา มาหาคุณยายที่นั่งขายทิชชูอยู่ เมื่อเธอกลับมา สิ่งที่เธอได้กลับไม่ใช่ทิชชู ราคา 5 บาท แต่เป็นรอยยิ้มก้อนโต ที่มาพร้อมกับการหยุดนิ่ง เพื่อยั้งคิด ที่เธอไม่เคยพานพบเวลายังคงเดินหน้าเธอไปทำงานในตอนเช้าโลกของเธอเริ่มหมุนแกว่ง ใช่ค่ะ เธอเป็นลมแต่นั่นก็ทำให้เธอได้พบเพื่อนใหม่ ความมีน้ำใจเป็นเหมือนสะพานเชื่อมที่บริสุทธิ์และจริงใจ ใครจะเชื่อว่ายาดมเก่าๆถลอกๆจะเป็นเหมือนของที่ระลึกของมิตรภาพได้ มันก็เหมือนกับคุณตื่นในตอนเช้าไปทำงานในที่เดิมๆ ขึ้นรถเมล์เวลาเดิม ป้ายเดิม เจอผู้คนหน้าตาเดิมๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่คุณได้รับมันจะเหมือนเดิมทุกวัน มันอยู่ที่คุณเปิด … เปิดหน้าต่างของตัวคุณเอง

 

ราดหน้า..น้ำตา..ความรัก June 1, 2007

Filed under: Uncategorized — therainyseason @ 10:34 am
Tags:

ต้องขอบอกก่อนนะค่ะว่า บล็อกเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่พิมพ์สดๆ (แบบเลือดสาดๆเลยค่ะ) เพราะเป็นครั้งแรกที่ไม่มีการร่าง คิด ขีด หรือเขียนไว้ล่วงหน้า ไม่มีการขัดเกลา ภาษาให้สวยงามระรื่นหู แต่มันเกิดขึ้นจากอารมณ์

     มือกลางวันเพิ่งผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วโมง ท้องฉันก้เริ่มร้องซะแล้ว คุณคงแปลกใจว่าฉันกินข้าวกับอะไร ทำไมมันถึงหิวเร็วขนาดนี้ ถ้าคุณรู้คุรคงไม่แปลกใจ 

     เพื่อนสาวเดินทางมาพบฉันในมื้อกลางวัน “แก” ประโยคแรกที่ฉันได้ยิน พร้อมกับน้ำตาของเธอ ฉันทำอะไรไม่ถูก ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อนฉันเค้าต้องเสียใจมากแน่ๆ แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างละเนี่ยะ ฉันเริ่มตกใจ

     เรานั่งลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมนูขึ้นชื่อที่เป็นที่นิยมของคนทำงานย่านนี้คือ ราดหน้าใส่ไข่ “ของฉันเส้นใหญ่ ของแกเส้นหมี่ กินซะ” ช้อนเริ่มเขี่ยวนเป็นวงกลม เธอพูดถึงชายคนรักที่แอบกลับไปคบหากับแฟนเก่าของเค้าเพราะความสงสาร เธอทั้งเจ็บปวด และทรมานใจที่ได้รับรู้ แต่ก็ไม่สามารถตัดใจจากเค้าได้

     น้ำตาของเพื่อนเริ่มคลอๆ อยู่ที่เป้าตา แล้วในที่สุดมันก็ไหลลงมา หยดแล้วหยดเล่า ฉันไม่กล้าแม้จะกลืนเส้นใหญ่ของโปรดลงท้อง เพราะฉันรู้สึกสงสารเธอจับใจ ฉันไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้ นอกจากปลอบใจและให้กำลังใจ

      เวลา 1 ชั่วโมงในตอนพักกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แทบไม่มีอะไรตกถึงท้องของเราทั้งสองคน มีเพียงน้ำตาของเธอเท่านั้นที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย “แกฉันรักแกว่ะ” ประโยคสุดท้ายที่เพื่อนฉันทิ้งไว้ให้ ฉันรู้ว่านั่นหมายถึงคำขอบคุณ ขอบใจที่อยู่เคียงข้างกัน     

      ฉันสงสัยถึงความรัก เราต่างเคยรู้ว่าเป็นสิ่งที่สวยงาม รื่นรมและชื่นใจ แต่อย่างว่า เรื่องทุกเรื่องมีสองด้าน คนเราต่างมุมมองต่างความคิด คนเราไม่มีอะไรพอดีในตัว เราต่างขวนขวายหาสิ่งที่ขาดหายในชีวิต แต่เมื่อวันนึงที่เรามีพร้อม เรากลับรู้สึกว่าเรายังอยากได้สิงอื่นเพิ่มขึ้นไปอีก บางครั้งมันจึงเป็นเหมือนอะไรที่ไม่จีรังยั่งยืน ตอนนี้ฉันหวังเพียงให้เธอเข้มแข็งและให้เรื่องราวเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเธอ

     “ฉันก็รักแกเหมือนกันว่ะ”