พร้อมพงษ์
เฮ้ย..!!!!!!!!!!!!!! ผู้หญิง ผมยาวสลวย แต่งตัวทันสมัยในชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่า รองเท้าส้นสูง ถือกระเป๋าแบรนด์เนม เธอเดินคุยโทรศัพท์ ระหว่างทางที่เดินลงจากบันไดสถานีรถไฟฟ้า เพื่อที่จะไปดูหนังกับชายคนรัก แต่ทุกอย่างดูไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะเธอเป็นต้นเหตุของเฮ้ย..!!!!!!!!!!!!!! ที่คุณได้ยินในข้างต้น
เหตุเพราะเธอเดินตกบันได เนื่องจากมีเด็กชายหญิงจอมซนวิ่งไล่กันมาชนเธอ รองเท้าส้นสูงที่เธอสวมอยู่ มันทำให้เธอยิ่งทรงตัวไม่อยู่ เธอกลิ้งตกลงจากบันไดราว6-7ขั้น ทุกคนรอบข้างแตกหือ เหมือนเธอเป็นตัวเชื้อโรคที่ถูกโยนลงมาท่ามกลางกลุ่มชน ทุกอย่างเริ่มหยุดนิ่งมีเพียงสายตาเท่านั้นที่เคลื่อนไหว ทุกคนจ้องมองหญิงสาวที่ล้มลงเบื้องหน้า แต่ไม่มีแม้สักคนเดียวที่เข้ามาช่วยเหลือ เธอพยายามลุก..ลุก..แล้วก็ลุกขึ้น เอื้อมมือไปหยิบชิ้นส่วนของโทรศัพท์ที่แตกกระจาย
อีกไม่ถึงนาที ที่เธอก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ภาพของเธอก็เลือนลางจากความทรงจำของผู้คนที่พบเห็น
สยาม
กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ที่เด็กสาว เดินทางโดยรถไฟฟ้าแทนการขึ้นรถเมล์ มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในสภาพสังคมปัจจุบันที่รีบเร่งทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลาและเธอก็ยังคงดำเนินชีวิตในแบบเดิมๆจนกระทั่งเธอได้รับมัน รอยยิ้มในครั้งนั้น
“เอ่อๆ ฉันจะถึงแล้ว เดี๋ยวเจอกัน อีกไม่เกิน 10 นาที” เสียงเด็กสาวรอดผ่านสายโทรศัพท์ไป เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพื่อไปให้ทันเวลานัดหมายกับเพื่อนสาวสุดซี้ แต่อยู่ดีๆก็เหมือนกับเธอโดนกระชาก อย่างเต็มแรง ท้าวยังคงก้าวต่อ แต่ใจกำลังนึกถึงแต่ภาพที่ตาของเธอเห็นเมื่อไม่กี่นาทีที่เพิ่งผ่านมา หญิงชราที่นั่งตัวขดเล็กอยู่หน้าร้านอาหาร Fast food ชื่อดังนั่งกินข้าวจากถุงพลาสติกที่ตักมาจากที่บ้าน มันช่างแตกต่าง และนั่นเป็นต้นเหตุให้เด็กสาวคนนั้นเดินย้อนกลับมา
“ยายค่ะ ทิชชู่นี่ห่อละเท่าไร”
“5 บาทจ๊ะ” หญิงชราวางช้อนและถุงพลาสติกลงกับพื้นข้างกาย ส่งทิชชูให้เธอหนึ่งห่อ พร้อมกับรอยยิ้มของหญิงชราที่เป็นเหมือนพรวิเศษ รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฏขึ้นจากร่างกายที่ยากลำบาก มันเหมือนทุกจังหวะชีวิตของเธอที่เคยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคอยๆช้าลง เพราะเธอเห็น…เห็นการหยุดนิ่งของหญิงชราคนนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งเดียวที่เธอไม่เคยสังเกตุเห็นมันเลย
สวนลุมพินี
รอบตัวดูเคว้งคว้าง ทุกอย่างที่สายตาพาดผ่านล้วนเป็นสีเขียว เบาะนั่ง หน้าต่าง กระเป๋ารถเมล์ คนขับรถ เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ทุกอย่างทุกคนล้วนเป็นสีเขียวไปหมด “ให้ตายสิ .. ฉันไม่ชอบเลยสีเขียวเนี่ยะ”หญิงสาวพลางคิดรำพึงในใจ แล้วทำไมฉันยืนไม่อยู่“ช่วยเปิดประตูให้ด้วยค่ะ”เธอก้าวลงจากรถเมล์ที่จอดนิ่งติดไฟแดงอยู่เป็นเวลานาน เธอนั่งลงที่สนามหย้าข้างทาง พลางคิดในใจ “นี่ก้สวนลุมฯ แล้ว อีกแค่ป้ายเดียวก็จะถึงออฟฟิตแล้ว ทำไมมาเป็นเอาตอนนี้ หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ทุกคนบนรถเมล์มองเธอ หลายคนที่เดินผ่านก็มองเธอ ตอนนี้เธอกำลังหมดแรง ก้มหน้าฟุบลงกับหัวเข่าที่ชันขึ้น แต่เธอก็ยังคงมีสติ
“เป็นลมหรอค่ะ” เสียงของหญิงวัยกลางคนสอดแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ พร้อมกับยื่นยาดมให้เธอ“ค่ะ” หญิงสาวกล่าวตอบ
“มันอาจจะเก่าไปหน่อย ไม่รู้จะมีกลิ่นอยู่รึเปล่า จะไปตรงไหน เดี๋ยวพี่เดินไปส่งให้” มือขวาของหญิงผู้มาเยือนประคองเอวของหญิงสาวไว้ตลอดทาง
คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงสาวคนแรก คนที่สอง และคนที่สาม เค้าเป็นคนคนเดียวกัน เธอแต่งตัวสวยงามเพื่อไปพบชายคนรัก ตามที่นัดหมาย แต่เธอก็พลัดตกบันได ทั้งเจ็บและอับอาย ถึงแม้จะไม่มีใครสักคน ยื่นมือมาช่วยเหลือ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่คิดช่วยเหลือใคร ในตอนแรกเธออาจลังเลที่จะเดินกลับมา มาหาคุณยายที่นั่งขายทิชชูอยู่ เมื่อเธอกลับมา สิ่งที่เธอได้กลับไม่ใช่ทิชชู ราคา 5 บาท แต่เป็นรอยยิ้มก้อนโต ที่มาพร้อมกับการหยุดนิ่ง เพื่อยั้งคิด ที่เธอไม่เคยพานพบเวลายังคงเดินหน้าเธอไปทำงานในตอนเช้าโลกของเธอเริ่มหมุนแกว่ง ใช่ค่ะ เธอเป็นลมแต่นั่นก็ทำให้เธอได้พบเพื่อนใหม่ ความมีน้ำใจเป็นเหมือนสะพานเชื่อมที่บริสุทธิ์และจริงใจ ใครจะเชื่อว่ายาดมเก่าๆถลอกๆจะเป็นเหมือนของที่ระลึกของมิตรภาพได้ มันก็เหมือนกับคุณตื่นในตอนเช้าไปทำงานในที่เดิมๆ ขึ้นรถเมล์เวลาเดิม ป้ายเดิม เจอผู้คนหน้าตาเดิมๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่คุณได้รับมันจะเหมือนเดิมทุกวัน มันอยู่ที่คุณเปิด … เปิดหน้าต่างของตัวคุณเอง
Recent Comments